ผลแห่ง "การให้" ที่แตกต่าง..แล้วทำบุญด้วยสิ่งใดมีผลแห่งบุญมากที่สุด ?
ผลแห่ง "การให้" ที่แตกต่าง..แล้วทำบุญด้วยสิ่งใดมีผลบุญมากที่สุด ? ความลุ่มลึก ละเอียดแยบคายอานิสงส์ผลบุญแห่งการให้ จากคำสอนพระบรมครู ศาสดาเอกของโลก หาใดเทียบ http://winne.ws/n7569
แสดงธรรม-ฟังธรรม-ถวายผ้าไตร (กำเนิดกฐิน)
ผลแห่ง "การให้" ที่แตกต่าง..แล้วทำบุญด้วยสิ่งใดมีผลบุญมากที่สุด ? ความลุ่มลึก ละเอียดแยบคายอานิสงส์ผลบุญที่ได้รับจากการให้ เป็นอย่างไร คำสอนจากพระบรมครู ศาสดาเอกของโลก หาใดเทียบ
คำว่า ทาน ที่แปลว่า การให้ นั้น จัดเป็นบุญเป็นกุศล เป็นความดีอย่างหนึ่ง
หมายถึง เจตนา ที่เป็นเหตุให้เกิดการให้ก็ได้
หมายถึง วัตถุ คือสิ่งของที่ให้ก็ได้
ทาน จึงมีความหมายที่เป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรม
ถ้าหมายถึงเจตนาที่ให้ก็เป็น "นามธรรม"
ถ้าหมายถึงวัตถุที่ให้ก็เป็น "รูปธรรม"
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงทานในความหมายทั้งสองอย่างนี้รวม ๆกันไป
เจตนาที่เป็นเหตุให้เกิดการให้ทานนั้น แบ่งตามกาลเวลาได้ ๓ กาล คือ ปุพเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นก่อน คือเมื่อนึกจะให้ ก็แสวงหาตระเตรียมสิ่งที่จะให้นั้นให้พร้อม มุญจเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นในขณะกำลังให้ของเหล่านั้น อปรเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นหลังจากได้ให้เรียบร้อยแล้ว แล้วเกิดความปีติยินดีในการให้ของตน
บุคคลใดที่ทำบุญหรือให้ทานด้วยจิตใจที่โสมนัสยินดี ทั้งประกอบด้วยปัญญา เชื่อกรรมและผลของกรรมครบทั้ง ๓ กาลแล้ว บุญของผู้นั้นย่อมมีผลมาก
ตักบาตรทางน้ำ
เจตนาทั้ง ๓ กาลนี้ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องดับไปเช่นเดียวกับสังขารธรรมอื่น ๆ และเมื่อดับไปแล้วสามารถจะส่งผลนำเกิดในสุคติภูมิเป็นมนุษย์และเทวดาได้ ใน พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน แสดงความบุพกรรม คือกรรมในชาติก่อน ๆ ของผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ที่เกี่ยวกับทานไว้มากมาย ตัวอย่างเช่น
** พระอรหันต์รูปหนึ่งในอดีตชาติได้ถวายผลมะกอกผลหนึ่งแก่พระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ในป่าใหญ่
*** รูปหนึ่งเคยถวายดอกบุนนาค รูปหนึ่งเคยถวายขนม รูปหนึ่งเคยถวายรองเท้า เป็นต้น
นับแต่นั้นมาท่านเหล่านั้นไม่เคยเกิดในทุคติภูมิเลย เกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์และเทวดาเท่านั้น ตราบจนในชาติสุดท้ายได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
วัตถุทาน คือสิ่งของที่ให้นั้นก็มีหลายอย่าง กล่าวกว้าง ๆ ก็ได้แก่ปัจจัย ๔ คือ จีวร ซึ่งรวมทั้งเครื่องนุ่งห่มด้วย บิณฑบาต ซึ่งรวมทั้งอาหารเครื่องบริโภคทุกอย่าง เสนาสนะ ที่อยู่อาศัยคิลานเภสัช คือยารักษาโรค
ในโภชนทานสูตร อัง. ปัญจก. ข้อ ๓๗ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ทายกผู้ให้โภชนะเป็นทาน ชื่อว่าให้ฐานะ ๕ อย่างแก่ปฏิคาหก คือ ผู้รับ ๕ อย่าง คือ ๑. ให้อายุ ๒. ให้วรรณะ คือผิวพรรณ ๓. ให้ความสุข คือ สุขกาย สุขใจ ๔. ให้กำลัง คือความแข็งแรงของร่างกาย ๕. ให้ปฏิภาณ คือฉลาดในการตั้งปัญหาและตอบปัญหา
ใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์
ถ้าจะพูดให้ละเอียดขึ้นไปอีก พระพุทธองค์ก็ทรงจำแนกวัตถุทานไว้ ๑๐ อย่างคือ
๑. ข้าว ๒. น้ำ ๓. ผ้า ๔. ยาน (พาหนะ)
๕. ดอกไม้ ๖. ของหอม ๗. เครื่องลูบไล้ ๘. ที่อยู่
๙. ที่อาศัย และ ๑๐. ประทีปดวงไฟ
ใน กินททสูตร สัง. สคาถ. ข้อ ๑๓๘ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
การให้ข้าวและน้ำ ชื่อว่า ให้กำลัง
การให้ผ้า เครื่องนุ่งห่ม ชื่อว่า ให้ผิวพรรณ
การให้ยานพาหนะ ชื่อว่า ให้ความสุขทั้งกายและใจ
การให้ประทีบดวงไฟ ชื่อว่า ให้ดวงตา
การให้ที่อยู่อาศัย ชื่อว่า ให้ทุกอย่าง คือให้กำลัง ให้ผิวพรรณ ให้ความสุข และให้ดวงตา
แต่การพร่ำสอนธรรม คือการให้ธรรมะ ชื่อว่าให้สิ่งที่ไม่ตาย เพราะบุคคลจะพ้นจากความตายไม่ต้องเกิดอีกได้ ก็เพราะอาศัยการได้สดับตรับฟังธรรม ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
การให้ธรรมะชนะการให้ (สิ่งอื่น) ทั้งปวง แม้การจะทำทานให้ถูกต้องก็ต้องอาศัยการฟังธรรม
ถวายสังฆทาน
ขอบคุณเนื้อหาดี ๆ จาก http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html