ศิษย์วัดพระธรรมกายย้ำ! ถ้าไม่เข้าใจอย่ามั่วมโนนั่งเทียนเขียน..ยินดีตอบทุกประเด็นที่สงสัย

ศาสนพิธี “การบูชาข้าวพระ” โดยเฉพาะคำกล่าวบูชาข้าวพระพุทธประโยคนี้ “อิมํ สูปพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ โภชนํ สอุทกํ วรํ พุทฺธสฺส ปูเชมิ : ข้าพเจ้าขอบูชาโภชนะสมบูรณ์ด้วยข้าวและกับ พร้อมน้ำใสสะอาดนี้แด่พระพุทธเจ้า” http://winne.ws/n7964

722 ผู้เข้าชม
ศิษย์วัดพระธรรมกายย้ำ! ถ้าไม่เข้าใจอย่ามั่วมโนนั่งเทียนเขียน..ยินดีตอบทุกประเด็นที่สงสัยขอบคุณภาพจาก www.youtube.com

        เห็นพระมหาโนเนมภูมิใจที่มีคนตั้งชื่อให้  แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้ท่านมีภูมิรู้ภูมิธรรมยิ่ง ๆ ขึ้น ก่อนอื่นอยากจะบอกว่า งานเขียนของท่านที่แสนดีตอบ เพราะมันมีผิดหลายจุดน่ะครับ

        งานของท่านดูเหมือนเป็นการ "จับแพะชนแกะ" หรือเปล่าครับ ความถูก กลับกลายเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนไป ทำให้ผู้อ่านที่ไม่ได้เข้าใจความจริงทั้งหลายจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไป และถ้าไม่ตอบบ้าง ก็จะกลายเป็นเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ที่เมื่อก่อนศิษย์วัดพระธรรมกายไม่ได้ตอบโต้ เพราะไม่อยากมาเสียเวลาเรื่องหมอง ๆ ลำพังศึกษาเรื่องดี ๆ ก็หมดเวลาชีวิตแล้ว คิดว่าทำดีไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเขาก็เข้าใจเอง และไม่อยากฉีกหน้าคนอื่น แต่ปรากฏว่าผ่านมาหลายปี เขาก็ไม่เข้าใจซักที

          ซึ่งยุคนี้เป็นยุคชี้แจงความจริงครับ อะไรที่ชี้แจงได้ก็ชี้แจงไป เพราะคนที่มีปัญญาจะได้เข้าใจถูกต้อง

ขอความกรุณานะครับทุกประเด็นที่สงสัยและไม่เข้าใจ กรุณาถามไถ่มาดี ๆ ก็ได้ ศิษย์วัดพระธรรมกายทุกคนยินดีอธิบาย เพราะการเข้าใจผิดมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ

        อันที่แล้ว แสนดีแค่ยกตัวอย่าง แก้เรื่องของ “ธง” ซึ่งเห็นได้ชัดเจน ไม่ต้องค้นคว้า หรือตีความอะไรเลย มาให้ดูว่าเรื่องชัดๆอย่างนี้ ยังมั่วได้ สาอะไรเรื่องอื่น ๆ จะผิดพลาดไม่ได้ครับ ยิ่งเรื่องอัตตาอนัตตานั่นยิ่งแล้วใหญ่ เป็นสภาวธรรมระดับสูง ท่านมหากลับกล้าฟันธงเพียงแค่อ่าน ๆ เอาด้วยตัวอักษรเพียงอย่างเดียวเลยเหรอครับ 

        ของเห็นชัด ๆ สัมผัสได้อย่างธงที่ไม่ต้องตีความอะไรเลย มหายังวินิจฉัยผิด แล้วเรื่องอื่นที่สัมผัสไม่ได้มองไม่เห็นและเป็นสภาวธรรมที่สูง จะเป็นอย่างไร

        ในเบื้องต้น คิดว่าทุกคนก็ทำผิดพลาดกันได้เป็นเรื่องธรรมดาซึ่งถ้ามหาอยากจะให้งานเขียนของตัวเองมีคุณภาพมากขึ้น กรุณาอย่านั่งเทียน ยิ่งถ้าเขียนถึงบุคคลที่สาม กรุณามาถามบุคคลที่สามก่อน ว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า ไม่ใช่เดา ๆ เอา แล้วไปเขียนเอาไปแจกชาวบ้าน 

        มันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่ผู้เป็นบัณฑิตเขาพึงทำ ดังข้อพึงพิจารณาของบรรพชิต 10 ข้อในข้อสุดท้ายที่ว่า คุณวิเศษที่เราบรรลุแล้วมีอยู่หรือไม่ ที่จะทำให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน เมื่อถูกเพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง

        ดังนั้นน้องแสนดีขอแนะนำให้ท่านอย่าเป็นปริยัติงูพิษเลย ขอให้ท่านไปทำปฏิเวธให้แจ้งก่อน แล้วค่อยมาเพ่งโทษ โพนทะนา คนอื่นนะครับ เรามาช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาร่วมกัน ให้พุทธบุตรเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียวดีกว่า

“ท่านมหาโนเนม " 

        สำหรับศาสนพิธี “การบูชาข้าวพระ” โดยเฉพาะคำกล่าวบูชาข้าวพระพุทธประโยคนี้ “อิมํ สูปพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ โภชนํ สอุทกํ วรํ พุทฺธสฺส ปูเชมิ : ข้าพเจ้าขอบูชาโภชนะสมบูรณ์ด้วยข้าวและกับ พร้อมน้ำใสสะอาดนี้แด่พระพุทธเจ้า” เราชาวพุทธคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะก่อนชาวพุทธจะถวายสำรับกับข้าวอาหารแด่พระสงฆ์ให้กระทำภัตกิจหรือก่อนพระสงฆ์บิณฑบาตกลับมาจะกระทำภัตกิจฉันภัตตาหารเช้าก็ยกสำรับกับข้าวน้อย ๆ (ในถ้วยตะไลเล็ก ไม่พออิ่ม ทำพอเป็นพิธี มิได้มลังเมลืองยิ่งใหญ่ ภาชนะเงินทองรองรับข้าวอาหารวาววับงามจับตา) ถวายเป็นพุทธบูชา ถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้านั่นเอง

มารู้จัก "อสทิสทาน" กันนะครับ https://goo.gl/RBDQQN

        นั่นบูชาพระพุทธเจ้าอย่างยิ่่งใหญ่ ถ้าใหญ่แล้วไม่ดี พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องทรงห้ามแล้วใช่ไหมว่าเรามาทำน้อย ๆ กันเถอะ พอเพียง ๆ นะ มีน้อยก็ทำให้น้อย มีมากก็ต้องทำน้อยนะ เดี๋ยวจะมลังเมลือง อย่างนั้นเหรอ

        แล้วถ้าทำมากกว่าถ้วยตะไล ก็ไม่ผิดครับ ไม่มีข้อกำหนดไว้ตรงไหนว่าต้องทำแบบไหน ขนาดเท่าไร รบกวนท่านมหาช่วยค้นมาให้หน่อย ว่าต้องเท่าถ้วยตะไล ไม่อย่างนั้นผิดหลายที่หรือหลายวัดในประเทศพม่าซึ่งก็เป็นพุทธเถรวาทเช่นกัน ก็ทำการบูชาข้าวพระด้วยปริมาณไม่น้อย ตามภาพ https://goo.gl/ESj3nJ และ https://goo.gl/QhTIBs

          วัดเหล่านี้เขาปฏิบัติแบบนี้ ก็ไม่ผิดนะครับ สำหรับท่านที่ไม่นิยมความมลังเมลือง ในพระไตรปิฎกก็จัดอัธยาศัยเข้าในแบบ “ลูขประมาณ” ก็อยู่แบบเก่าคร่ำคร่าตามอัธยาศัยอุปนิสัยที่สั่งสมกันมาข้ามชาติ ก็สามารถสร้างศรัทธาแก่สาธุชนได้เช่นกัน ไม่ว่ากัน แล้วแต่ท่านมหา

          เอาเป็นว่า เขามีมากเขาก็ทำมาก เขามีน้อยเขาก็ทำน้อย ทำแล้วสุขใจ อิ่มบุญ ไม่ได้เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น ก็เป็นบุญแล้วครับ

ท่านมหาโนเนม บอกว่า :

         “การบูชาข้าวพระพุทธ ไม่ได้เริ่มปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล” เพราะสืบหาการบูชาข้าวพระพุทธไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎก อย่างไรก็ตาม หากจะพิสูจน์เรื่องนี้โดยนำพระไตรปิฎกมาเป็นเครื่องชี้ผิดถูกนั้น พบว่ามีข้อความช่วงท้ายของพรหมชาลสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 9 บอกว่า ไม่ควรบูชาข้าวพระพุทธ (เหมือนไปเซ่นสรวงวิญญาณของพระพุทธเจ้า ปรามาสดูหมิ่นทำให้พระพุทธองค์เป็นเหมือนสัมภเวสีเร่ร่อนไปเสียเปล่า) เพราะไม่มีพระวรกายรูปลักษณะให้พบเห็นแล้ว เหลือเพียงพุทธคุณ ควรน้อมระลึกถึงโดยความเป็นอตีตารมณ์ “พุทธานุสติ” เท่านั้น

        เรื่องที่ท่านมหายกมากล่าวอ้างในพรหมชาลสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 9 ที่บอกว่า ไม่ควรบูชาข้าวพระพุทธ ปรากฏว่า หาไม่พบ ใคร่จะขอความรู้ว่าท่านมหาสืบค้นพระไตรปิฎกเล่มไหน มาอ้างอิง โปรดแนะนำ

         แม้คำว่าการบูชาข้าวพระ อาจไม่ได้มีปรากฏตรงตัวในพระไตรปิฎก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอาจจะไม่มีในสมัยพุทธกาลหรือไม่ แต่ในหลังพุทธกาลก็มีแน่ ๆ ครับ ที่มีบันทึกไว้อรรถกถา คือน่าจะเป็นสมัยหลังจากพระเจ้าอโศก คือ “พึงตั้งพระพุทธรูปที่มีพระธาตุไว้บนอาสนะในฐานะองค์ประมุขของสงฆ์ ๒ ฝ่าย ตั้งที่วางของไว้ ถวายวัตถุทั้งหมดมีทักษิโณทก (น้ำหลั่งอุทิศถวายเป็นทักษิณาทาน) เป็นต้นแด่พระศาสดาก่อน จึงถวายแด่พระสงฆ์ ๒ ฝ่าย ทานได้ชื่อว่าถวายสงฆ์ ๒ ฝ่าย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประมุข ด้วยประการฉะนี้ https://goo.gl/D8DKns 

       และที่ว่าทำการบูชาโดยน้อมถึงท่านเพียงด้วยพทธานุสติเท่านั้นก็พอ ไม่ทราบว่าตีความตามความเข้าใจของตัวเองหรือเปล่าครับ เพราะน้องแสนดีมีหลักฐานประกอบว่าทำได้ ซึ่งแม้ไม่ใช่ข้าวโดยตรง แต่ถวายวัตถุทานต่อพระพุทธเจ้าที่แม้ปรินิพพานไปแล้วก็ได้บุญมาก โดยมีมาในมหาปรินิพพานสูตร

        เนื้อความว่า พึงสร้างสถูปของตถาคตไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ชนเหล่าใดจักยกขึ้นซึ่งมาลัยของหอมหรือจุณ จักอภิวาทน์ หรือจักยังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้น การกระทำเช่นนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ชนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน ฯ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค https://goo.gl/Lzzn3l  แสดงให้เห็นชัดว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า แม้เมื่อหลังปรินิพพาน การบูชาท่านก็ยังได้ผลมาก

ท่านมหาโนเนมก็คงไม่เข้าใจ ว่าปรินิพพานไปแล้ว บูชาท่านจะได้อะไร ? 

        พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เอาไป แต่เราต่างหากที่ได้บุญ ในพระไตรปิฎก มีอยู่มากมายที่เกี่ยวกับบุญจากการบูชาพระพุทธเจ้าแม้ปรินิพพานไปแล้ว ด้วยวัตถุทาน เช่น สกจิตตนิยเถราปทาน เนื้อความว่า เราได้เห็นป่าชัฏใหญ่สงัดเสียง ปราศจากอันตราย เป็นที่อยู่อาศัยของพวกฤาษี ดังกับจะรับเครื่องบูชา เราจึงเอาไม้ไผ่มาทำเป็นสถูป แล้วเกลี่ย (โปรย) ดอกไม้ต่าง ๆ ได้ไหว้พระสถูป ดุจถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยังทรงพระชนม์อยู่เฉพาะพระพักตร์

        เราได้เป็นพระราชาสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในแว่นแคว้นปรารภด้วยกรรมของตน นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราโปรยดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๘๐ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มียศอนันต์สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้วพระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน https://goo.gl/LwtuwW

จะเห็นได้ชัดว่า บูชาแม้ปรินิพพานไปแล้ว ก็ได้บุญใหญ่ และบุญส่งผลถึงในชาติที่บรรลุธรรมเลยทีเดียว ยังมีอีกหลายพระสูตร ทั้งบูชาด้วยประทีป บูชาด้วยทองคำ บูชาด้วยดอกไม้ ฯลฯ https://goo.gl/wbJOQA และ https://goo.gl/r6lIK5 

        นี่เป็นตัวอย่างจากดอกไม้ ซึ่งข้าวก็เป็นหนึ่งในวัตถุทานเช่นกัน และยังเป็นประโยชน์ให้กับพระและสาธุชนเมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว ก็จะได้เอาไปทานกันต่อ ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งอิ่ม

ท่านมหาโนเนม: ถามให้คิดว่า “การบูชาข้าวพระพุทธ เราชาวพุทธปรารถนาบุญหรือไม่ จะได้บุญจริง ๆ ไหม” 

        พิจารณาคำว่า “บูชา” ก่อน ในมงคลสูตร 3 ข้อแรกแสดงไว้ว่า ไม่คบคนพาล 1 คบเฉพาะบัณฑิต 1 บูชาบุคคลผู้ควรแก่การบูชา 1 ทั้ง 3 ประการนั่นเป็นอุดมมงคล

        การบูชาบุคคลผู้ควรแก่การบูชาเป็นสิริมงคล มิได้เป็นบุญ เช่นเดียวกับการบูชาข้าวพระพุทธ ถวายข้าวน้ำบูชาพระพุทธเจ้าก็เป็นสิริมงคล มิได้เป็นบุญ และเมื่อเกิดเป็นมงคล ก็เกิดเป็นกุศลจิต เมื่อเกิดเป็นกุศลจิตก็เกิดการทำกุศลกรรม เมื่อเกิดการทำกุศลกรรมก็สำเร็จเป็นบุญคุณความดี เมื่อสำเร็จเป็นบุญคุณความดีก็เกิดวิบากผลที่คนทำควรได้รับ ซึ่งจะต่อเนื่องสัมพันธ์กันไปเอง มิได้สลับซับซ้อนเลย เพียงแต่ต้องกล่าวให้ถูกต้องตรงตามเหตุปัจจัยที่เป็นจริงเท่านั้น

        ดังนั้นคำว่า “บุญ” ในที่นี้ จึงหมายถึงผลานิสงส์ที่ตนพึงได้ตามกำลังแห่งบุญที่กระทำไว้ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ เช่น เสื้อผ้าอาภรณ์ ข้าว น้ำ เครื่องอุปโภคบริโภค ยวดยานพาหนะ ประทีปของหอมเครื่องลูบไล้

         “การบูชาข้าวพระพุทธ ถวายข้าวน้ำบูชาพระพุทธเจ้าก็เป็นสิริมงคล มิได้เป็นบุญ และเมื่อเกิดเป็นมงคล ก็เกิดเป็นกุศลจิต เมื่อเกิดเป็นกุศลจิตก็เกิดการทำกุศลกรรม เมื่อเกิดการทำกุศลกรรมก็สำเร็จเป็นบุญคุณความดี”

         ขึ้นต้นบอกไม่ใช่บุญเป็นเพียงสิริมงคล แต่ลงท้ายบอกเป็นบุญ ผู้อ่าน คงเห็นข้อมูลมาไม่มากพอและขัดแย้งกันเองของข้อความเพียงไม่กี่บรรทัดของท่านมหาโนเนม เรื่องนี้คงไม่ต้องอธิบายมากและในเรื่องของการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้บุญและอานิสงส์มาก ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว

          ดังนั้นผู้มีใจเลื่อมใสศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ถึงคุณค่าของบุญ จึงควรทำทั้งอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา ซึ่งวัดพระธรรมกาย ก็ทำทั้งบูชาข้าวพระ และนั่งสมาธิกลั่นใจระลึกถึงพระพุทธเจ้า จึงเป็นการทำทั้งสองอย่าง

         เราทุกท่านที่ยังเวียนว่ายตายเกิดยังคงต้องศึกษาเรื่องราวต่างๆ อีกมากมาย อย่าว่าร้ายอย่าทะเลาะกันดีกว่าครับ แต่เอาข้อมูลดีๆ ถูกต้องมาทำความเข้าใจให้ตรงกันดีกว่า

ถ้าท่านมีตรงไหนสงสัย หรือไม่เข้าใจ กรุณามาถามพระที่เชี่ยวชาญธรรมะที่วัดพระธรรมกายก่อนนะครับ อย่านั่งสรุปความเดาเอาเองครับ เพราะท่านก็คงไม่อยากให้ใครทำเช่นนี้กับท่านเช่นกัน

น้องแสนดี

19 กันยายน 2559

ติดตามเพจน้องแสนดีได้ทาง facebook ค้นคำว่า น้องแสนดี

ศิษย์วัดพระธรรมกายย้ำ! ถ้าไม่เข้าใจอย่ามั่วมโนนั่งเทียนเขียน..ยินดีตอบทุกประเด็นที่สงสัย
แชร์