ชาติแรกของ "พระนางพิมพา" พบ "พระโพธิสัตว์" นางอธิษฐานอย่างไร ? จึงเกิดมาพบกันทุกชาติ
ชาติแรกของพระนางพิมพา พบกับ พระโพธิสัตว์ (สุเมธฤาษี) ยุคสมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า และชาติสุดท้ายบรรลุพระอรหันตเถรีเข้าสู่นิพพาน สมัยพุทธกาลนี้ ที่เพิ่งผ่านมา http://winne.ws/n8329
พระนางพิมพาพบพระโพธิสัตว์ และอธิษฐานจิต ครั้งแรก ให้ได้เป็นสามีภรรยาและช่วยเหลือกันตลอดไปต่อสมเด็จพระพุทธทีปังกรพุทธเจ้า (พระโพธิสัตว์เป็นสุเมธฤาษี)
พระนางพิมพาได้ตั้งความปรารถนาเป็นพระสาวิกา ตั้งแต่สมัยเมื่อ ๔ อสงไขยล่วงมาแล้ว โดยสมัยนั้น พระนางได้เกิดเป็นกุมารีนางหนึ่ง ซึ่งเป็นสาวแรกรุ่นโสภาอายุได้ ๑๖ ปี เป็นบุตรีของคฤหบดีชาวปัจจันตคาม วันนั้นเมื่อมีการประกาศว่า ให้มหาชนช่วยกันแผ้วถางทางเพื่อรับเสด็จ สมเด็จพระทีปังกรบรมโลกนาถเจ้า ก็มีศรัทธามาร่วมถากทางกับชาวบ้านปัจจันตคามทั้งหลายด้วย
ครั้นได้เห็น สุเมธฤาษี ผู้มีฤทธิ์เหาะมาจากป่าใหญ่ มหาชนพากัน ชี้มือบอกฤาษีผู้ขออนุญาตให้ไปทำทาง ณ บริเวณที่เต็มไปด้วยโคลนเลน ซึ่งเป็นสถานที่จะทำให้สำเร็จได้ยากลำบาก แต่ฤาษีผู้มีฤทธิ์ ก็รับทำจำยอมแต่โดยดี เจ้าสุมิตตากุมารี ก็มีความเห็นใจแลสงสารท่านฤาษี จึงช่วยแผ้วถางและขนดินจากที่อื่นมาเทถมในที่นั้นด้วยใจภักดี ต่อฤาษีผู้ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์เหาะเหิรเดินอากาศได้อยู่ไปมา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรบรมศาสดา ทรงประกาศแก่ปวงมหาชนว่า สุเมธฤาษีจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลอีกนานหนักหนา สุมิตตากุมารีก็บังเกิดความยินดีปรีดา รีบวิ่งไปแสวงหาดอกไม้ ได้ดอกอุบลสดใหม่มา ๘ ดอก แล้วจึงซบกายถวายบังคมลงตรงเบื้องพระพักตร์กระทำการสักการะบูชาสมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าววาจาตั้งปณิธานตามความประสาใจของนางในขณะนั้นว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐเป็นพระบรมโลกุตมาจารย์ ด้วยเดชาอานิสงส์ที่ข้าพระบาทได้กระทำสักการะบูชาแก่สมเด็จพระพุทธองค์เจ้าในกาลบัดนี้ ขอให้สุเมธฤาษี จงเป็นสามีของข้าพระบาทสมใจปรารถนาในภายภาคหน้าด้วยเถิด
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ บุญกุศลใดๆ อันเกิดจากพลีกำลังกายถากถางทางเพื่อเสด็จพระพุทธดำเนินในครั้งนี้ก็ดี และบุญกุศลที่ได้ถวายสักการบูชาสมเด็จพระทศพลด้วยดอกอุบลอันงามนี้ ก็ดี ขอให้สุเมธฤาษีนี้จงได้เป็นสามีร่วมรักแห่งข้าพระบาทผู้มีวาสนาน้อย ในอนาคตด้วยเถิด”
สุเมธฤาษีโพธิสัตว์ผู้ซึ่งได้รับคำพยากรณ์จากพระโอษฐ์ แห่งองค์สมเด็จพระทีปังกรเจ้า ว่าจักได้สำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิในอนาคตภายภาคหน้า ครั้นกุมารีงามโสภาชาวปัจจันตคาม เจ้ามาตั้งความปรารถนาและจะได้ตนเป็นสามี เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าก็พลันสะดุ้งตกใจเป็นอันมาก
ทั้งนี้ก็เพราะว่า จะได้มีตัณหาความยากได้ใคร่ดีในนางกุมารีน้อยแม้แต่สักนิดหนึ่งก็หามิได้ ดังนั้น ท่านสุเมธฤาษีผู้มีฤทธิ์จึงกล่าวห้ามปรามความปรารถนาแห่งเจ้าสุมิตตากุมารีขึ้นว่า
“ดูกร เจ้าซึ่งมีพักตร์อันเจริญ อันความปรารถนาแห่งเจ้าที่จะได้เราเป็นสามีนี้ แม้จะเป็นความปรารถนาที่ดี แต่เราจะได้ชอบใจไปด้วยแม้แต่สักนิดหนึ่งก็หามิได้ ขอเจ้าจงถอนความปรารถนาเช่นนั้นเสียในกาลบัดนี้ ขอเจ้าอย่าพึงกระทำความปรารถนาอย่างนั้นเลย จงปรารถนาอย่างอื่นเถิด”
สุมิตตากุมารีสาวงามแห่งปัจจันตคาม ซึ่งมีความปรารถนาในใจอันมั่นคงแรงกล้า แม้จะถูกฤาษีออกวาจากล่าวห้ามปรามฉะนี้เป็นหลายหนหลายครั้ง นางก็ยังยึดมั่นอยู่ในความปรารถนาดั้งเดิม หาแปรไปเป็นอื่นไม่
สมเด็จพระทีปังกรบรมศาสดาจารย์ พระองค์ผู้ทรงมีพระญาณอันไม่ขัดข้องในทุกกรณี จึงตรัสแก่สุเมธดาบสว่า
“ดูกร สุเมธดาบสเอ๋ย ตัวท่านอย่าได้ห้ามซึ่งความปรารถนาแห่งกุมารีน้อยนี้เลย ด้วยว่าในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อตัวท่านบำเพ็ญพุทธบารมีธรรมเพื่อบ่มพระบรมโพธิญาณให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์นั้น กุมารีมีจิตมั่นคงนี้จักเป็นที่พึ่งอาศัยของท่าน และท่านจักได้บำเพ็ญบารมีเป็นภริยาทานบริจาคในกาลภายหน้าได้ ก็โดยอาศัยกุมารีนี้แลเป็นปัจจัยสำคัญ
ดูกร สุเมธดาบสเอ๋ย ถึงเราตถาคตนี้เมื่อยังสร้างพระบารมีท่องเที่ยวอยู่ในกระแสวัฏสงสาร ได้อาศัยสตรีภาพจึงมีโอกาสบำเพ็ญภริยาทานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นขอท่านจงอย่าห้ามความปรารถนาแห่งนาง จงปล่อยให้เป็นไปตามประสาแห่งใจนางในกาลบัดนี้เถิด”
สุเมธฤาษีได้ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีความเลื่อมใสเชื่อฟังด้วยดี รับพระพุทธฎีกา สาธุ สาธุ สาธุ
สมัยพุทธกาลนี้
ปรากฏว่าเป็นเวลามากมายหลายชาติทีเดียว ในกาลครั้งยังต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร เพื่ออบรมบ่มพระสัมโพธิญาณพุทธบารมีอยู่นี้ ที่อดีตสุเมธฤาษีได้เป็นสามีร่วมรักกับเจ้าสุมิตตากุมารี ตามแรงอธิษฐานของนาง เมื่อครั้งถวายดอกอุบล ๘ ดอก แด่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรพุทธเจ้า
บางคราวเกิดเป็นมนุษย์ทั้งสองก็ต้องเป็นคู่สามีภริยากัน แม้บางคราวจะเกิดในกำเนิดสัตว์เดียรฉาน ก็ได้เป็นคู่สู่สมภิรมย์รักไม่พรากจากกันไป ตลอดกาลอันแสนจะยาวนานถึง ๔ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป นี้
ชาติสุดท้าย สุเมธฤาษีและสุมิตตากุมารี บุรุษสตรีซึ่งเป็นสามีภรรยาคู่สร้างกันมาแต่ปางบรรพ์ สุดจะนับประมาณชาติที่เกิดได้นั้น ต่างก็พากันมาบังเกิดในมนุษยโลกเรานี้ โดยสุเมธฤาษีได้มาอุบัติในขัตติยะตระกูล ณ กรุงกบิลพัสดุ์บุรี ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าชายอังคีรสราชกุมาร หรืออีกพระนามหนึ่งว่า เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร
ส่วนสุมิตตากุมารีสาวโสภาแห่งปัจจันตคาม ได้มาบังเกิดในขัตติยะตระกูล ณ กรุงเทวทหนคร ได้เป็นเอกอัครมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระพิมพายโสธราเทวี
เสด็จโปรดพระญาติ แต่พระนางยโสธรา ไม่ยอมมาฟังธรรมเพราะน้อยใจ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า พระนางพิมพาเป็นคู่บารมีกันมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน การแสดงพระธรรมเทศนาโปรดหมู่พระประยูรญาติ ปรากฏว่าพระนางพิมพาไม่ยอมไปฟังเทศน์ มีคนไปกราบทูลให้ทรงทราบพระนางก็ตรัสว่า
“ในเมื่อพระลูกเจ้าเสด็จมาถึงประเทศนี้แล้ว และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงรู้จักตำหนักนี้ดี เคยอยู่มาก่อน ถ้าองค์สมเด็จพระชินวรไม่เสด็จมาโปรดเราถึงที่ เราก็ไม่ไป”
เพราะอาศัยน้ำใจที่พระนางมีความรัก ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้า พระนางก็เกิดการน้อยใจว่า ตำหนักนี้เคยอยู่ ทำไมองค์สมเด็จพระบรมครูจึงไม่มาเทศน์โปรดสอนเราถึงตำหนัก เมื่อท่านไม่มาเราก็ไม่ไป
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรู้ จึงทรงตั้งใจไปโปรดพระนางพิมพาถึงตำหนัก การไปคราวนี้ พระนางพิมพาอาศัยที่มีความรักความอาลัยอยู่เดิม จะเข้ามากอดที่ขาของพระองค์แล้วก็พร่ำรำพันถึงความทุกข์และความรักในอดีต เป็นอันว่าผลที่ติดตามมาถึงสี่อสงไขยกับแสนกัปจะไม่เกิดผล
เพราะจิตใจของตถาคตไม่มีกิเลสแล้ว จึงได้ทรงชวนพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร ๒ ท่านไปด้วย คือให้ทั้งสองท่านรับทราบไว้ด้วย จะได้ช่วยแก้ความเข้าใจผิดของคนต่อภายหลัง ขณะที่เดินไปจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
“พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลาน์ ถ้าเข้าไปในตำหนักของพระนางพิมพาแล้ว ถ้าพระนางพิมพาจะมากอดขาตถาตค ขอเธอทั้งสองจงอย่าห้าม และขอเธอจงเข้าใจว่า เวลานี้จิตใจของตถาคต ไม่มีอะไรแล้ว แต่ทว่ามีความห่วงใยในพระนางพิมพา ถ้าเธอทั้งสองห้าม เธอจะอกแตกตาย เพราะการบำเพ็ญบารมีมาในกาลก่อน เธอไม่ได้ทำเอง มีหน้าที่อย่างเดียวคือโมทนาความดีที่ตถาคตทำ ฉะนั้นการบรรลุมรรคผลของพระนางพิมพาจึงต้องเนื่องด้วยตถาคต จะหาทางช่วยตนเองให้บรรลุมรรคผลนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้”
กล่าวถึงสมเด็จพระนางพิมพาราชเทวี ซึ่งทรงคุณวิเศษในพระพุทธศาสนาเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล และทรงเป็นพระราชชนนีของพระราหุลอรหันต์ วันหนึ่งพระนาง
ทรงเห็นคุณแห่งบรรพชา จึงเสด็จ พานางศักยราชนารีกับทั้งบริวารเสด็จคมนาการออกจากรุงกบิลพัสดุ์ไปสู่เมืองสาวัตถี ครั้งถึงจึงกราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลขอบรรพชา ก็ทรงพระกรุณาโปรดประทานภิกษุณีอุปสมบทกรรมด้วยอัฏฐครุธรรม ๘ ประการ พร้อมกับนารีที่เป็นบริวารสมตามความปรารถนา
รับกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าและเจริญวิปัสสนายังไม่ทันถึง ๑๕ วัน ก็บรรลุพระอรหัต พระนางเป็นผู้ช่ำชองชำนาญในอภิญญาทั้งหลายระลึกชาติได้ถึงอสงไขยหนึ่งยิ่งด้วยแสนกัป โดยการระลึกถึงเพียงครั้งเดียว
ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนาพวก ภิกษุณีไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระภัททากัจจานาเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลายผู้ได้บรรลุอภิญญาใหญ่ คำว่า "ได้อภิญญาใหญ่" นั้น หมายถึงพระสาวกผู้ที่ได้อภิญญาและสามารถระลึกชาติได้อสงไขยหนึ่งกับอีกแสนกัป ในขณะที่พระสาวกผู้ที่มิได้อภิญญาใหญ่นั้นสามารถระลึกชาติได้ไม่เกินแสนกัปเท่านั้น
ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ใดพระองค์หนึ่งนั้น จะมีผู้ที่สำเร็จอภิญญาใหญ่ได้เพียง ๔ ท่านเท่านั้น ในสมัยของพระพุทธเจ้าของพวกเรานี้ ผู้ที่สำเร็จอภิญญาใหญ่ ๔ ท่านนั้นก็คือ คือ พระสารีบุตรเถระ พระมหาโมคคัลลานะเถระ พระพากุลเถระ และ พระนางภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธราพิมพา) สามารถระลึกชาติได้ประมาณเท่านี้.
พระพระภัททากัจจานาเถรี หรือพระยโสธราเถรี ได้เข้านิพพานเมื่ออายุ ๗๘ พรรษา ก่อนพระพุทธเจ้า ๒ ปี
อ้างอิง : ตามรอยพระพุทธบาท ประวัติพุทธสาวิกา