ทำไม มนุษย์ไม่รู้ว่า พระนิพพาน คือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต
โลกนี้ถูกอวิชชา คือความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตห่อหุ้มไว้ เหมือนเวลาที่เดินเข้าไปในห้องมืด ๆ ไม่มีแสงสว่างจากภายนอก หรือมีเพียงแสงสลัว ๆ ทำให้มองไม่เห็นวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ในห้อง ความมืดคืออวิชชาได้ห่อหุ้มจิตใจของมนุษย์ไว้ http://winne.ws/n22176
* พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทุติยนิพพานสูตร ว่า
"ทุทฺทสํ อนตํ นาม น หิ สจฺจํ สุทสฺสนํ
ปฏิวิทฺธา ตณฺหา ชานโต ปสฺสโต นตฺถิ กิญฺจนํ
ฐานะที่บุคคลเห็นได้ยาก ชื่อว่านิพพาน ไม่มีตัณหา นิพพานนั้นเป็นธรรมจริงแท้ ไม่เห็นได้โดยง่ายเลย ตัณหาอันบุคคลแทงตลอดแล้ว กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้รู้ ผู้เห็นอยู่ "
โลกนี้ถูกอวิชชา คือความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตห่อหุ้มไว้ เหมือนเวลาที่เดินเข้าไปในห้องมืด ๆ ไม่มีแสงสว่างจากภายนอก หรือมีเพียงแสงสลัว ๆ ทำให้มองไม่เห็นวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ในห้อง ความมืดคืออวิชชาได้ห่อหุ้มจิตใจของมนุษย์ไว้ ปิดบังเห็น จำ คิด รู้ และเอาความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้ามาใส่ ให้หลงใหลเพลิดเพลิน เดินตามทางของพญามาร ที่คอยส่งกิเลสเข้ามาบังคับ เอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป็น สวมซ้อน ร้อยไส้ ทำให้ต้องเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น การจะรู้จักพระนิพพานซึ่งเป็นเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตนั้น จึงเป็นไปได้ยากมาก
อีกประการหนึ่ง การตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย มีภพชาติ มาขวางกั้นความทรงจำของเรา ทำให้เราไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน มาทำไม ตายแล้วจะไปไหน ไม่รู้จุดหมายปลายทางของชีวิต เหมือนเวลาที่เราเดินหลงทางในป่าใหญ่ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน หาทางออกไม่พบ ความหลงในชีวิตเป็นอันตรายกว่าหลงทางในป่า เพราะเป็นเหตุให้ต้องทนทุกข์ ทรมานในสังสารวัฏอีกยาวนาน โมหะ คือความหลงได้ห่อหุ้มสัตว์โลกเอาไว้ จึงเป็นสิ่งที่จะต้องสลัดให้หลุด เหมือนออกจากที่มืดไปสู่ที่แจ้ง ไปสู่แสงสว่างแห่งชีวิต
ส่วนพระอริยสาวก ท่านละโลภะ โทสะ โมหะ และทำลายข่ายแห่งความมืดได้แล้ว จึงมองเห็นพระนิพพาน อวิชชาอันเป็นต้นเหตุแห่งวัฏสงสารได้ถูกตัดขาด ตัดภพตัดชาติ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอีกต่อไป พระอริยเจ้า คือผู้ที่เข้าถึงพระธรรมกาย ตั้งแต่กายธรรมพระโสดาบันเป็นต้นไป ได้เป็นโสดาบันบุคคล เป็นผู้ถึงกระแสพระนิพพาน ตัดขาดจากสังโยชน์เบื้องตํ่า ๓ ประการ ได้แก่สักกายทิฏฐิ คือความเห็นเป็นเหตุให้ถือตัวตน วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย และสีลัพพตปรามาส คือ การถือมั่นในศีลพรตที่เป็นความเชื่อผิด ๆ พระโสดาบันจะกลับมาเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
พระสกิทาคามี หมายถึง พระอริยเจ้าผู้จะกลับมาสู่โลกนี้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะเข้าสู่นิพพาน ท่านขจัดสังโยชน์เบื้องตํ่า ๓ ประการได้หมด มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ ราคะ โทสะ โมหะก็เบาบางลงมาก
พระอนาคามี คือผู้ที่ไม่ต้องกลับมาสู่โลกนี้อีก สามารถกำจัดกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยได้หมดสิ้น เมื่อละโลกก็จะได้เสวยสุขในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสทั้ง ๕ ตามกำลังความแก่อ่อนของอินทรีย์ จากนั้นบำเพ็ญเพียรต่อก็สามารถเข้าถึงอายตนนิพพานได้
สำหรับพระอรหันต์นั้น คือผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีลสมาธิ (Meditation) ปัญญา กำจัดสังโยชน์เบื้องสูงได้ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา คือความไม่รู้ในอริยสัจ ๔ ท่านรู้แจ้งแทงตลอดหมด สังโยชน์เบื้องตํ่าเบื้องสูงหลุดหมดชนิดสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ห่างไกลจากอาสวกิเลสทั้งมวล เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน คือดับกิเลสแต่เบญจขันธ์ของท่านยังอยู่ ต่อเมื่อละสังขารไปแล้วก็เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ดับขันธ์ ๕ เหลือแต่ธรรมขันธ์เข้าสู่อายตนนิพพาน
พวกเราต่างมีเป้าหมายที่จะไปรู้ไปเห็นอายตนนิพพาน เหมือนอย่างพระอริยเจ้าทั้งหลาย การจะไปเห็นอายตนนิพพานได้นั้น ใจต้องหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสมบูรณ์ เพราะตรงนี้เป็นที่เดียวที่จะเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน การหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จะเปลี่ยนแปลงชีวิตสัตว์โลกทั้งหลายให้เจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถเข้าถึงอายตนนิพพาน หลุดพ้นจากการถูกครอบงำจากกิเลสอาสวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ หรืออวิชชาที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจมาเป็นเวลายาวนาน อาสวะดังกล่าวก็จะถูกขจัดให้หลุดล่อนออกไปหมด ด้วยใจที่หยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์
เมื่อเรารู้ว่า พระนิพพานคือเป้าหมายของชีวิต เราต้องรีบแสวงหาพระนิพพาน ในขณะที่เรายังอยู่ในวัยหนุ่มวัยสาว ในขณะที่หูตายังดี อวัยวะต่างๆ ยังแข็งแรง เพราะถ้ารอทำความเพียรตอนแก่ หนทางไปสู่อายตนนิพพานก็ห่างไกลออกไปอีก ถ้าเรายังหนุ่มกำลังวังชายังแข็งแรงอยู่ เราจะได้ใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างบารมี อย่างนี้ถึงจะถูกหลักธรรมของบัณฑิตนักปราชญ์ ผู้ไม่ประมาทในชีวิต ฉะนั้นให้รีบประพฤติปฏิบัติธรรมตักตวงบุญบารมีของเราให้เต็มที่ แล้วเราจะจากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะ
* มก. เล่ม ๔๔ หน้า ๗๒๐
อ่านต่อได้ที่ : http://buddha.dmc.tv/ธรรมะเพื่อประชาชน/นิพพานคือเป้าหมายของชีวิต.html