"กฎแห่งกรรม" กฎเหล็กของทุกชีวิต ที่ไม่เคยยกเว้นผู้ใดแม้องค์พระพุทธเจ้า ผู้หมดกิเลสแล้ว

"กฎแห่งกรรม" กฎเหล็กของทุกชีวิต แค่คิด แค่พูด จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ รู้หรือไม่รู้ ก็มีผลสะท้อนกลับถึงผู้กระทำ กฎที่ไม่เคยยกเว้นผู้ใดแม้องค์พระพุทธเจ้าผู้หมดกิเลสแล้ว http://winne.ws/n6522

4.1 พัน ผู้เข้าชม
"กฎแห่งกรรม" กฎเหล็กของทุกชีวิต ที่ไม่เคยยกเว้นผู้ใดแม้องค์พระพุทธเจ้า ผู้หมดกิเลสแล้ว

ในยุคปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า..การด่าว่าพระภิกษุสงฆ์เป็นสิ่งไม่ผิดซ้ำร้ายยังคิดว่า..เป็นการช่วยพระพุทธศาสนาอีกด้วย เพราะเท่ากับเป็นการกำจัดพระไม่ดีให้หมดไป!

ก่อนจะปักใจดิ่งทำตามความคิดข้างบนผู้เขียนก็อยากจะเล่าเรื่องวิบากกรรมเก่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฟังเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจอะไรใหม่ เพราะการทำบาปโดยไม่รู้ว่าบาป ย่อมส่งผลรุนแรงกว่าการรู้แล้วทำ เสมือนการไม่รู้ว่าก้อนถ่านไฟนั้นร้อน แล้วรีบคว้าจับเต็มมือ ย่อมร้อนกว่าการรู้ว่าร้อนแล้วจับ เพราะถ้ารู้ว่าร้อน เราก็จะจับมันอย่างระมัดระวัง!

วิบากกรรมที่อดีตชาติพระพุทธเจ้า เคยกล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้า

ในวันหนึ่ง “มุนาฬิ” ไปเที่ยวป่ากับเพื่อน ๆ แล้วเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า “สุรภิ” ซึ่งเป็นผู้มีฤทธานุภาพมาก แต่แทนที่จะเกิดความเลื่อมใส กลับรู้สึกว่า พระองค์เอาแต่นั่งเฉย ๆ ไม่ได้เทศน์สอนใคร มีแต่จะรอรับอาหารจากชาวบ้าน จึงได้ด่าพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า “ท่านเป็นพระทุศีล ห่มจีวรหลอกชาวบ้าน ไม่ยอมทำมาหากิน มัวแต่เที่ยวเดินขออาหารจากชาวบ้าน โดยไม่มีความละอายแก่ใจ”

ด้วยกรรมนี้ ทำให้ “มุนาฬิ” ตกนรกหมกไหม้ทนทุกข์ทรมานหลายพันปีนรก 

(จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทานภาค ๑ เถราปทาน ๑ พุทธวรรค และ อรรถกถาขุททกนิกาย อุทาน เมฆิยวรรคที่ ๔ สุนทรีสูตรทำให้เข้าใจได้กระจ่างชัดว่า แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดกิเลสแล้วก็ยังต้องรับกรรมที่เคยทำมาในอดีต อย่างในเรื่องที่พระองค์ถูกใส่ร้าย ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง เป็นเพราะวิบากกรรมเก่าครั้งที่เคยเสวยพระชาติเป็นนักเลงชื่อว่า “มุนาฬิ”

จนมาในภพชาติสุดท้าย แม้พระองค์ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ตาม ก็ยังหนีกรรมนั้นไม่พ้น ทำให้พวกเดียรถีย์อิจฉาริษยาคิดหาอุบายวางแผนใส่ร้าย โดยส่งปริพาชิกาชื่อ “สุนทรี” เดินเข้าเดินออกในวัดพระเชตวันอยู่ ๒-๓ วัน ทำทีว่าไปพักอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้นพวกเดียรถีย์จึงจ้างโจรให้ไปฆ่านาง แล้วนำศพไปโยนทิ้งไว้ด้านหลังพระคันธกุฎี และทำแผนชั่วใส่ความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนฆ่านาง ทำให้มีคนหลงเชื่อมากมาย แล้วพากันด่าพระองค์ด้วยคำหยาบคาย

"กฎแห่งกรรม" กฎเหล็กของทุกชีวิต ที่ไม่เคยยกเว้นผู้ใดแม้องค์พระพุทธเจ้า ผู้หมดกิเลสแล้ว

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พระพุทธองค์ยังเคยถูก “นางจิญจมาณวิกา” กล่าวตู่ว่า ได้นอนในพระคันธกุฎีร่วมกับพระองค์จนนางตั้งครรภ์ทำให้ชาวบ้านบางส่วนหลงเชื่อ ที่เป็นเช่นนี้เพราะภพในอดีต พระองค์เคยกล่าวตู่พระอรหันต์องค์หนึ่งที่ชื่อ “นันทะ” ด้วยบาปกรรมนี้ พระองค์จึงต้องตกนรกเสวยทุกข์ทรมานเป็นเวลายาวนานถึงหนึ่งหมื่นปีนรก จนเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ยังถูกกล่าวตู่มากมายแม้ภพชาติที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วกรรมก็ยังตามส่งผลให้พระองค์ถูกนางจิญจมาณวิกา กล่าวตู่ด้วยถ้อยคำที่ไม่เป็นความจริงต่อหน้าสาธารณชน

จะเห็นว่า..แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งหมดกิเลสเป็นผู้บริสุทธิ์ขนาดนี้ ก็ยังมีคนด่าว่าใส่ร้ายถึงเพียงนี้ แต่ที่น่าตกใจเป็นที่สุดก็คือกลับมีคนจำนวนมากมายหลงเชื่ออีกด้วย!

มาในยุคนี้ก็เช่นกัน มีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่พยายาม ใส่ร้ายป้ายสี ผู้ทรงศีล เช่นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ซึ่งเป็นถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นถึงพระระดับสูงสุดแห่งศาสนจักร ตลอดจนพระรูปอื่น ๆ หรือแม้แต่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย (หลวงพ่อธัมมชโย)  โดนตัดต่อภาพ โดนทำเฟซบุ๊กปลอมทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยเล่นเฟซบุ๊กเลย ซ้ำร้ายยังส่งข้อมูลเท็จใส่ร้ายท่านในโลกไซเบอร์ โดยที่ยังไม่รู้จริงเลยว่าท่านเป็นอย่างไร

ดังนั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วง ว่าได้ก่อเวรครั้งใหญ่ ให้กับตนเองหรือไม่?? เพื่อเป็นความไม่ประมาท เราควรทำใจนิ่ง ๆ จะดีกว่า จะได้ปลอดภัย ไปทุกชาติ
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.kalyanamitra.org/th/uniboon_detail.php?page=3707

แชร์