เกาหลีใต้เพิ่งได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่มีนโยบายแตกต่างจากนางสาวพักกึนเฮ อดีตประธานาธิบดีอย่างสิ้นเชิง ทั้งนโยบายในประเทศและต่างประเทศ แต่ท่าทีต้านอเมริกา โปรจีน และเป็นมิตรกับเกาหลีเหนือของเกาหลีใต้ถูกมองว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีได้ เพราะผู้เล่นตัวจริงคือมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและจีน

นายมุนแจอิน ผู้นำใหม่เกาหลีใต้ ขึ้นบริหารประเทศพร้อมท่าทีและภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนจากผู้นำคนเก่าอย่างนางสาวพักกึนเฮแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ในขณะที่พักกึนเฮเป็นบุตรสาวของอดีตประธานาธิบดีเผด็จการพักจุงฮี ครอบครัวของนายมุนอพยพมาจากเกาหลีเหนือ วัยเด็กประสบแต่ความยากลำบาก และเขายังเป็นนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายมาตลอดชีวิต รวมถึงเป็นนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน มุนแจอินจึงถูกมองว่าเป็นความหวังของการปฏิวัติประชาธิปไตย เห็นอกเห็นใจคนจน เมื่อบวกกับการออกตัวหนุนการเจรจากับเกาหลีเหนือ เอนเอียงไปทางจีนมากกว่าสหรัฐฯ ที่ถูกชาวเกาหลีจำนวนมากมองว่าเป็นมหาอำนาจที่ครอบงำประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้นายมุนดูจะเป็นผู้นำที่เปลี่ยนทิศทางเกาหลีใต้ไปอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม รองศาสตราจารย์นภดล ชาติประเสริฐ จากศูนย์เกาหลีศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่านายมุนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก เพราะความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นเรื่องระดับโลก ที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและจีน ไม่เกี่ยวกับนโยบายของเกาหลีใต้ และที่น่าติดตามก็คือท่าทีของมุนแจอิน อาจกำลังทำลายแผนกดดันเกาหลีเหนือของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สหรัฐฯกับเกาหลีใต้อาจมีความตึงเครียดกันมากขึ้น และต้องเจรจากันอย่างหนักหน่วงว่าจะมีนโยบายต่อเกาหลีเหนืออย่างไรกันแน่

นอกจากนี้ ประเด็นในประเทศอย่างการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น เอื้อผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มทุนใหญ่ หรือ "แชโบล" กับนักการเมือง ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแชโบลฝังรากลึกในเกาหลีใต้มานาน มีอิทธิพลแทบจะมากกว่ารัฐบาล ในวันเดียวกับที่นายมุนรับตำแหน่ง บรรดานักธุรกิจแชโบลใหญ่ๆของประเทศ ก็รวมตัวกันออกแถลงการณ์แล้วว่าไม่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามายุ่งวุ่นวายกับการประกอบธุรกิจของเอกชนมากเกินไป เป็นท่าทีที่ชัดเจนว่าแชโบล ไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำเกาหลีใต้จะล้มล้างได้ง่ายๆ

เพราะฉะนั้นสิ่งที่นายมุนอาจทำได้ จึงเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงสัญลักษณ์เล็กๆน้อยๆ เช่นเพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ และเข้มงวดในการออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจมากขึ้น รวมถึงเรื่องการพัฒนาสิทธิมนุษยชน แต่เรื่องของการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ ยังยากที่จะเกิดเป็นรูปธรรมได้จริง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้ก็ไม่ถือว่าอยู่ในสภาวะดีนัก

แม้ว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้อาจจะถูกเงื่อนไขมากมายจำกัดไม่ให้ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน ว่าจะเป็นปากเสียงของคนรากหญ้าและฝ่ายหัวก้าวหน้าในประเทศมากกว่าที่ผ่านมา

ขอบคุณข้อมูลจากhttp://news.voicetv.co.th/world/489220.html