"อัมพปาลี"หญิงโสเภณีผู้บรรลุพระอรหันต์ในยุคพุทธกาล

อัมพปาลี นางคณิกาหรือโสเภณีที่สวยงามในเมืองไพศาลี แคว้นวัชชี นางเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ได้ถวายสวนมะม่วงอันเป็นสมบัติของนางให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ในปลายพุทธกาล http://winne.ws/n17822

7.5 พัน ผู้เข้าชม

ตำแหน่งนครโสเภณีสมัยก่อนโน้นเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ พระราชาแต่งตั้งดูเหมือนจะมีเงินเดือนกินด้วย

"อัมพปาลี"หญิงโสเภณีผู้บรรลุพระอรหันต์ในยุคพุทธกาล

เมื่อสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพร้อมพระอานนท์ บ่ายพระพักตร์ไปยังเมืองกุสินาราเพื่อดับขันธปรินิพพาน ผ่านมาทางสวนมะม่วงของนางอัมพปาลี นางทราบเข้าจึงไปกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จไปเสวยภัตตาหารที่บ้านของตน

ขณะที่นางกำลังเดินทางกลับบ้านนั้น ได้สวนทางกับเจ้าชายลิจฉวีจำนวนหนึ่ง เมื่อเจ้าลิจฉวีทราบว่านางอัมพปาลีได้อาราธนาพระพุทธเจ้าไว้ก่อนแล้ว จึงขอ "ซื้อ" กิจนิมนต์นั้นจากนาง หมายความว่า ขอให้นางสละสิทธิ์การถวายภัตตาหาร ในวันรุ่งขึ้นมอบให้พวกเขาเสีย พวกเขาจะตอบแทนให้ด้วยรถม้าสวยงาม ประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตา (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงจะเป็นรถเบนซ์ราคาแพง) นางก็ปฏิเสธ

พวกเจ้าลิจฉวี แม้จะเสนอเงินทองให้มากมายเพียงใด นางก็ยังยืนกรานปฏิเสธ นางบอกว่าการได้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้านั้นมีค่ามากกว่าสิ่งใดในที่สุดพวกลิจฉวีก็ต้องยอมแพ้

อัมพปาลีคนนี้มีประวัติอันพิสดาร อรรถกถากล่าวว่า นางเป็น "โอปปาติกะ" (ผุดเกิดที่โคนต้นมะม่วง) พวกราชกุมารแห่งเมืองไพศาลีมาพบนางเข้า ต่างจะเอาเป็นสมบัติของตน จึงถึงกับวิวาทกันใหญ่โตเมื่อเรื่องเข้าสู่ศาล ศาลให้พิพากษาว่า "ให้นางเป็นสมบัติของทุกคน" จึงได้แต่งตั้งนางให้เป็นนางนครโสเภณี (หญิงงามเมือง)

นางอัมพปาลีหญิงนครโสเภณีหลังถวายสวนมะม่วงให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาแล้ว นางได้ออกบวชในสำนักของนางภิกษุณี และได้บรรลุพระอรหันต์

"อัมพปาลี"หญิงโสเภณีผู้บรรลุพระอรหันต์ในยุคพุทธกาล

นางอัมพปาลีหญิงนครโสเภณีผู้งดงามและโด่งดังด้วยค่าตัวที่สูงลิ่ว ต่อมา นางเสื่อมใสในพระพุทธศาสนาและได้ออกบวชเป็นภิกษุณี

"อัมพปาลี"หญิงโสเภณีผู้บรรลุพระอรหันต์ในยุคพุทธกาล

ตำแหน่งนครโสเภณีสมัยก่อนโน้นเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ พระราชาแต่งตั้งดูเหมือนจะมีเงินเดือนกินด้วย มิใช่ธรรมดา มีสาวๆ ในความควบคุมดูแลอีกมากสมัยนี้เรียก "มาม่าซัง" อะไรทำนองนั้น

แคว้นวัชชี หัวก้าวหน้ากว่ารัฐอื่น เป็นแคว้นแรกที่มีตำแหน่งนครโสเภณี เพื่อ "ดูด" เงินตราจากต่างประเทศ กษัตริย์เมืองเล็กเมืองน้อยได้ทราบข่าวว่าที่นครไพศาลีมีนางนครโสเภณีที่เป็นสมบัติของทุกคน ต่างก็ขนเงินมา "ทิ้ง" ที่เมืองนี้กันปีละจำนวนไม่น้อย ว่ากันว่าค่าอภิรมย์กับนางอัมพปาลี คืนหนึ่งแพงหูฉี่ แต่ก็มี "แขก" ต่างเมืองมาเยี่ยมสำนักเธอมิขาดสาย

ว่ากันอีกว่า พระเจ้าพิมพิสารเป็นแขกพิเศษของนางอัมพปาลี จนได้บุตรด้วยกันมาคนหนึ่ง นามวิมละ หรือวิมล หนุ่มน้อยวิมล เสด็จพ่อนำไปเลี้ยงไว้ในราชสำนักเมืองราชคฤห์ (ผู้เป็นพ่อยอมรับ โดยมิต้องพิสูจน์ดีเอ็นเอ) ต่อมาวิมลได้ออกบวชและได้บรรลุพระอรหัตผล

พระเจ้าพิมพิสารได้แต่งตั้งนางนครโสเภณีขึ้นที่เมืองราชคฤห์ โดยสถาปนานางสาลวดีเป็นผู้รับตำแหน่งคนแรก และข่าวลืออีกนั่นแหละว่า นางสาลวดีได้

"อัมพปาลี"หญิงโสเภณีผู้บรรลุพระอรหันต์ในยุคพุทธกาล

พระเจ้าพิมพิสารได้แนวคิดไปจากนี้แหละครับ ภายหลังจึงได้แต่งตั้งนางนครโสเภณีขึ้นที่เมืองราชคฤห์ โดยสถาปนานางสาลวดีเป็นผู้รับตำแหน่งคนแรก และข่าวลืออีกนั่นแหละว่า นางสาลวดีได้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวเพราะความเผลอ นางเลี้ยงบุตรสาวเพื่อสืบทอดตำแหน่ง แต่ไม่ปรารถนาบุตรชาย จึงให้คนนำไปทิ้งไว้ใกล้ๆ ประตูวัง เจ้าชายอภัย พระราชโอรสพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมาพบเข้า นำเด็กน้อยไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม

เด็กน้อยคนนี้เป็นผู้มีบุญญาธิการอันได้สั่งสมมาแล้วแต่ปางก่อน เมื่อเจริญวัยมาได้ไปศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ กลับมาได้เป็นแพทย์ประจำราชสำนัก และเป็นแพทย์ประจำพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านนี้คือหมอชีวกโกมารภัจจ์ น้องสาวของท่านชื่อ สิริมา ต่อมาได้ตำแหน่งนครโสเภณีแทนแม่

ว่ากันว่า หมอชีวกโกมารภัจจ์ แท้ที่จริงคือโอรสพระเจ้าพิมพิสาร กับนางสาลวดี เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพิมพิสารมาก

ว่ากันว่า หมอชีวกโกมารภัจจ์ แท้ที่จริงคือโอรสพระเจ้าพิมพิสาร กับนางสาลวดี

"อัมพปาลี"หญิงโสเภณีผู้บรรลุพระอรหันต์ในยุคพุทธกาล

กลับมายังเรื่องของนางอัมพปาลี ตอนผมศึกษาประวัติพระพุทธศาสนาก็ไม่ทราบว่านางอัมพปาลีตอนหลังได้มาบวชเป็นภิกษุณี ต่อเมื่อมาอ่านอรรถกถาเถรีคาถาจึงพบว่า อัมพปาลีเถรี ที่แท้ก็คืออดีตนางนครโสเภณีชื่ออัมพปาลีนั้นเอง

หลังจากถวายสวนมะม่วงให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาแล้ว นางได้ฟังธรรมจากพระวิมลเถระ (บุตรชายของนาง) รู้สึกซาบซึ้งในรสพระธรรม จึงออกบวชในสำนักของนางภิกษุณี พิจารณาเห็นความเป็นอนิจจังแห่งสรีรร่างกายของตน ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาในไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล

หลังจากบรรลุธรรม พระอัมพปาลีเถรีได้กล่าวคาถาแสดงถึงสัจจะชีวิตของนางน่าจะเป็นเครื่องเตือนสติแก่สตรีทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ขอคัดมาบางตอนดังนี้

เมื่อก่อนผมของเรามีสีดำ คล้ายปีกแมลงภู่ มีปลายงอน เดี๋ยวนี้กลายเป็นเช่นปอเพราะชรา

เมื่อก่อนมวยผมของเรามีกลิ่นหอมดุจอบด้วยดอกมะลิ เป็นต้น เดี๋ยวนี้กลิ่นเหมือนขนกระต่าย เพราะชรา

เมื่อก่อนคิ้วของเรางดงามคล้ายรอยเขียนอันนายช่างเขียนดีแล้ว เดี๋ยวนี้เหมือนเถาวัลย์ เพราะชรา

เมื่อก่อนนัยน์ตาของเราดำขลับเหมือนนิลมณี รุ่งเรืองงาม เดี๋ยวนี้ถูกชราขจัดแล้วไม่งามเลย เวลารุ่นสาวจมูกของเรางดงามเหมือนเกลียวหรดาล เดี๋ยวนี้กลับห่อเหี่ยวเหมือนจมหายเข้าไปในศีรษะ เพราะชรา

เมื่อก่อนฟันของเราขาวงามเหมือนดอกมะลิตูม เดี๋ยวนี้กลายเป็นฟันหัก มีสีเหลืองปนแดง เพราะชรา

เมื่อก่อนเสียงของเราไพเราะเหมือนเสียงนกร้องอยู่ในไพรสณฑ์ เดี๋ยวนี้เราพูดอะไรก็ไม่ชัด เพราะชรา

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สรรพสิ่งเป็นอนิจจังเป็นจริงทุกประการ

นางได้พรรณนาความงามของสรรพางค์กาย ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าว่าล้วนแต่งดงามเป็นที่ปรารถนาชื่นชมของชายทั่วไป แต่ถึงตอนนี้ (เมื่อนางมาบวช) อวัยวะที่งดงามเหล่านั้นทรุดโทรม เพราะชรา ไม่น่าดู ไม่น่าชมเลย เป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นอนิจจัง ยืนยันพระราชดำรัสของสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสสอนถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสรรสิ่ง


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10213812175680210&id=1281720771

www.google.co.th

แชร์