"โลกันตมหานรก" เป็นอย่างไร? ทำบาปกรรมอะไรจึงตกไป "โลกันตมหานรก" รู้ไว้เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร

โลกันตมหานรก คืออะไร? ทำบาปกรรมอะไรจึงต้องตกไป "โลกันตมหานรก" รู้ไว้ไม่เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร จะได้ไม่เสียทีได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาในชาตินี้ http://winne.ws/n8060

4.1 พัน ผู้เข้าชม
"โลกันตมหานรก" เป็นอย่างไร? ทำบาปกรรมอะไรจึงตกไป "โลกันตมหานรก" รู้ไว้เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร

โลกกันตมหานรก 

นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ 

        นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกนรกแล้ว ยังมีมหานรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตมหานรก (มหาแปลว่าใหญ่) อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่ แปลกประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในจักรวาล ๓ โลก ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพก็เหมือนกับเอาดอกปทุมชาติ ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น

        ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ โลกจักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้ เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก = นรกขุมนี้พิเศษอันอยู่สุดขอบโลกจักรวาล 

         ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดมนเป็นยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องสว่างเท่าปลายเข็มก็ไปไม่ถึง เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการ สามารถที่จักห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ เปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น

        สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนักตัวเท่าภูเขา ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้ฉะนั้น ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมากเช่นนี้ เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า

“อโห ! กรรม ...อโห กรรม....ทำไมตูจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงตูเพียงผู้เดียวกระมังหนา”

        เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์บุคคลทั้งหลายตายแล้วไปเกิดที่มันมืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง       

แสดงจักรวาล 1 จักรวาล ประกอบด้วยทวีปทั้ง 4 เขาพระสุเมรุตรงกลาง บนคือสวรรค์ ล่างคือนรก

"โลกันตมหานรก" เป็นอย่างไร? ทำบาปกรรมอะไรจึงตกไป "โลกันตมหานรก" รู้ไว้เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร

 

ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหารซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน จึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกัน โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร 

         ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้าที่ใช้เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้นเลยกันดำดิ่งนรกพลัดตกลงไปเบื้องล้าง โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว

         สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็นทะเลนำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนัก ครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลมา พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่างกายอันใหญ่โตและเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลายเพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็วประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน้ำ

        ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม

แสดงที่ตั้งทวีปทั้ง 4 เขาพระสุเมรุตรงกลาง

"โลกันตมหานรก" เป็นอย่างไร? ทำบาปกรรมอะไรจึงตกไป "โลกันตมหานรก" รู้ไว้เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร

 ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นจนถึงแก่ความตาย และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก พวกสัตว์นรกเฝ้าเวียนตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด โน่นแหละชั่วพุทธันดร (พุทธันดรคือระยะเวลาที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาเกิดต่ออีกพระองค์หนึ่ง) หนึ่งนั้นแล จะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้หรือเปล่าก็ไม่แน่ อาจต้องพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาเกิดอยู่เรื่อย ๆ นานขนาดนั้น

        ปรากฏมีปัญหาสอดแทรกเข้ามาว่า ได้เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่าจึงต้องมาเป็นสัตว์นรกเหมือนนกค้างคาว เกาะเชิงเขาจักรวาล ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ในโลกนตนรกนี้? 

        ผีนรกเหล่าโลกันตร์นี้ ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก คือ 

        1. เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย 

        2. นั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้ คือ ประทุษร้ายพิฆาตท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษคล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมายนัก 

         3. แม้มีใจรักในการทำบาป จึงก้มหน้าทำแต่บาปทุก ๆ วัน เช่นกระทำปาณาติบาตหรือทินนาทาน ก็ทำมันทุกวันไป ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว อำนาจอกุศลกรรมอันหนักและแกร่งกล้าเช่นนั้น จึงพลันให้วิบากชักนำให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ 

         ซึ่งมีสภาพมืดบอดนอนธการอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อใดองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้แล้วเมื่อนั้นโลกันตนรกนี้ จึงมีโอกาสปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะมาตรว่าสักลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตามที่พรรณนามานี้แล้ว คือสภาพแห่งนรก โลกันตนิรยภูมิ 

แสดงมหานรกทั้ง 8 ขุมใหญ่ ขุมบริวาร และยมโลก

"โลกันตมหานรก" เป็นอย่างไร? ทำบาปกรรมอะไรจึงตกไป "โลกันตมหานรก" รู้ไว้เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร

         

บรรดาขุมนรกทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเห็นได้แล้วว่ามีอยู่มากมานหลายขุม เมื่อมีมากมายหลายขุมอยู่ ก็เป็นการยากลำบากแก่การที่จักจำได้ง่าย ๆ ฉะนั้น ในที่นี้เพื่อความเข้าสะดวกแก่การจดจำ จึงจักขอเวลานำเอาจำนวนนรกทั้งหมดมากล่าวซ้ำไว้อีกสักครั้งหนึ่ง ดังนี้

          ๑. มหานรก ๘ ขุม

          ๒. อุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม

          ๓. ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม

         ๔. โลกันตนรก ๑ ขุม

         รวมเป็นนรกทั้งสิ้น ๔๕๖ ขุม ขุมพิเศษ ๑ ขุม เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติเกิดเป็นสัตว์นรก ในขุมนรกเหล่านี้ทั้งหมด ย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างแสนจะเป็นทุกข์ทรมาน โดยได้รับการลงโทษอย่างสาหัสสากรรจ์อยู่ตลอดเวลา แต่การที่ว่าจักเป็นเวลานานเท่าไรจึงจะพ้นจากทุกขโทษในนรกเหล่านี้นั้น เป็นการไม่แน่นอน ทั้งนี้ก็เพราะว่าขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่เหล่าสัตว์นรกเจ้ากรรมเหล่านั้นได้ทำไว้เป็นประมาณหมายความว่า ถ้าทำบาปกรรมไว้มาก ก็ต้องตกนรกอยู่นานและตกอยู่หลายขุม เช่น พอไปตกมหานรกและได้รับทุกขโทษอย่างหนักแล้ว หากบาปกรรมยังไม่สิ้นก็ต้องไปตกอุสสุทนรก เสวยทุกขโทษอยู่ในอุสสุทนรกนั้นพอสมควรแก่กาลแล้ว 

ที่มา : http://larnbuddhism.com/godgram/nr/04.html         

แชร์